Search

คอลัมน์การเมือง - ปัจจัยสำคัญที่จะลดกระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมการเมืองไทย - หนังสือพิมพ์แนวหน้า

koi.prelol.com

ปัจจัยสำคัญที่จะลดกระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในการเมืองไทยน่าจะมีหลายประการ แต่ปัจจัยที่สำคัญและปัจจัยนำที่จะต้องฟูมฟักให้บังเกิดขึ้นในเบื้องต้น ก็คือ กระบวนการสร้างสภาวะผู้นำทางปัญญา

ผู้คนในสังคมตามปกติ ก็จะทุ่มเทไปที่พลังแห่งศีลธรรม เพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งก็อาจจะถูกหลักของ “ตรรกะ” (เหตุผล) แต่จะง่ายขึ้นหากเกิดขบวนการตื่นตัวทางสังคมด้านปัญญาและความรู้สึกนึกคิด ดังที่ในอดีต เมื่อเกิดกระแสการปฏิวัติทางปัญญา ความคิด-ความรู้ ที่เรียกกันว่า “ขบวนการฟื้นฟูศิลปวิทยา...” ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ในยุโรปตะวันตก ก็มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งการเมือง การเศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนนำไปสู่การปฏิรูปทางศาสนาในที่สุด


หรือในสมัยต่อๆ มา ในคริสต์ศตวรรษที่ 18 เมื่อเกิดขบวนการตื่นตัวทางการเมือง ในยุค “รู้แจ้ง”(Enlightenment) ในฝรั่งเศส โดยมีนักปราชญ์ นักคิดมากมายเช่น วอลแตร์, มองเตสกิเออ, รุสโซ ได้เขียนหนังสือวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมือง-สังคม และปลุกระดมให้ปัญญาชนในกรุงปารีสได้ตื่นตัว และวิพากษ์วิจารณ์สังคมของชนชั้นสูงในสมัยนั้น จนในที่สุดนำไปสู่การปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่ ใน ค.ศ. 1789 และพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ยุโรป ไปสู่ยุคประชาธิปไตยในศตวรรษต่อมา

นี่คือตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ด้วยปัจจัยของการปฏิวัติทางความคิด ความรู้ และศิลปวิทยา รวมทั้งปรัชญาการเมือง ทั้งในสงครามกู้อิสรภาพในอเมริกา และการปฏิวัติ ค.ศ. 1789 ในฝรั่งเศส

สังคมไทย ไม่น่าจะก้าวไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงอีกทั้งการปฏิรูปสังคม-การเมือง (เช่น การขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น) ตามที่คาดหวังคงไม่เกิดขึ้นโดยปราศจากการถือธงนำของผู้นำทางความคิดและปัญญาชน ลำพังท่านผู้นำรัฐบาลก็คงจะอ่อนล้าที่ต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากขบวนการทางการเมืองแบบเก่า ที่ยังคงติดนิสัยการเล่นการเมืองแบบ“ในตลาดขายของสด” ที่มีการต่อรองราคา หรือโกงน้ำหนักกันอยู่เสมอ

ฉะนั้น ในจังหวะนี้ สื่อมวลชนคือปัจจัยตัวแปรที่จะช่วยประคับประคองให้ท่านนายกรัฐมนตรีได้เดินทางโดยสะดวกบนเส้นทางอันแสนจะขรุขระ ขณะเดียวกัน การประนีประนอมเรื่องการปฏิรูป โดยเฉพาะ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็ควรจะเป็นวิถีทางสายกลางที่ผู้คนส่วนมากน่าจะเห็นชอบ

ในอนาคตอันใกล้ หากรัฐบาลได้เปิดทางให้มีการปฏิรูปการศึกษาเพื่อสร้างเยาวชนรุ่นใหม่ที่จะเป็นพลเมืองที่เข้าใจการเมืองอย่างลึกซึ้ง โดยการปฏิรูปการเรียนรู้ทางปรัชญาการเมือง และจริยธรรมการเมือง ทั้งการฝึกหัดครู และการปรับหลักสูตร “Liberal Art” ปีที่ 1-2 ระดับอุดมศึกษา เพื่อสร้างผู้นำทางความคิดและอุดมการณ์ ก็จะเป็นการปูทางไปสู่ ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาสายกลาง ที่พลเมืองตื่นรู้ก็จะช่วยเป็นพลังยับยั้งการเล่นการเมืองแบบ “การต่อรองในตลาดสด” และเริ่มยึดถือหลักการและผลประโยชน์สาธารณะเป็นเป้าหมายสำคัญของภารกิจของผู้แทนราษฎรและรัฐมนตรี

การสร้างปัญญาชนรุ่นใหม่ให้เป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ เป็นผู้ตื่นรู้ เป็นปัจจัยตัวแปรที่จะช่วยค้ำชูและส่งเสริมนโยบายสาธารณะที่ดี จึงน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญเป้าหมายหนึ่งของรัฐบาลชุดนี้ แต่วิธีการที่จะสร้าง “ปัญญาชน” คงไม่ได้มีคำตอบแบบเบ็ดเสร็จ สิ่งที่อาจจะทำได้คือ การปฏิรูปอุดมศึกษาดังที่อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ได้วางแผนไว้แล้ว โครงการที่สำคัญ ได้แก่ การสร้างงานและนวัตกรรมการผลิตในชนบท โดยมอบให้มหาวิทยาลัยในภูมิภาคเข้าไปมีบทบาทสำคัญ 1 ตำบล ต่อ 1 มหาวิทยาลัย ซึ่งคิดว่าท่านรัฐมนตรีคนใหม่ (คาดว่าจะเป็น ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์) คงจะสานต่อและดำเนินการปฏิรูประบบการเรียนการสอนระดับอุดมศึกษา ทั้งแนวกว้างและแนวลึก รวมทั้งให้เกิดความหลากหลาย สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมาย (นักศึกษา) และพื้นฐานดั้งเดิม และศักยภาพของอาจารย์

ในทศวรรษแรกๆ ได้เน้นการปฏิรูปการศึกษา (ทั้งคุณภาพและปริมาณ) ระดับต้น และระดับมัธยมศึกษาภาคบังคับ เพราะนั่นคือความจำเป็น และเมื่อการศึกษาภาคบังคับและการศึกษาพื้นฐานได้ขยายเชิงปริมาณไปมากพอสมควร ก็จะต้องมุ่งสร้างคุณภาพให้ดีเยี่ยม การปฏิรูปการฝึกหัดครูจึงเป็นเป้าหมาย และยกระดับการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา ทั้งในเชิงกว้าง (Liberal Education) และในเชิงลึก (วิชาเฉพาะ, วิชาชีพเฉพาะทาง) จึงน่าจะเป็นเป้าหมายสำคัญ

ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ ผู้มีประสบการณ์ทั้งวิชาชีพ และทางการเมือง น่าจะเป็นกำลังสำคัญทางด้านการศึกษาให้แก่รัฐบาลภายใต้การนำของท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ถึงเวลาแล้วสำหรับการก้าวต่อไปสู่การปฏิรูปในยุคที่ 3

โดยสรุป การจุดประกายความคิดเพื่อที่จะปฏิรูปการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ซึ่ง ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์เป็นผู้คิดริเริ่ม คงจะไม่สูญเปล่า และหากรัฐบาลชุดนี้ยังคงดำรงอยู่จนครบเทอม หรือต่อไปอีก 1-2 ปี กระแสของการเปลี่ยนแปลงน่าจะก่อให้เกิดขบวนการของ “ปัญญาชน” ที่จะช่วยกันชี้แนะเส้นทางที่สังคมการเมืองไทยน่าจะดำเนินต่อไป เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชนชาติไทย และเพื่อนร่วมโลกในอนาคตอันไม่มีจบสิ้น

บทบาทของสื่อสารมวลชนจึงมีความสำคัญ ทั้งเป็นเครื่องมือที่จะส่งเสริมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในสังคม รวมทั้งเป็นเครื่องเตือนสติสังคมที่อาจจะพากันดิ่งลงเหวเพราะความหลงผิด และกระแส ขณะเดียวกัน การปฏิรูปการเรียนรู้โดยเฉพาะในหมวดวิชาสังคม-การเมือง การสื่อสาร ก็ควรจะอยู่ในความสนใจของนักการศึกษาทั้งหลาย เพราะอิทธิพลของสื่อที่หลากหลาย ย่อมสร้างความหลงผิด คิดไขว้เขวในหมู่ประชาชนได้เสมอ การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ (รวมนานาชาติ) และการเมือง จึงมีความจำเป็น เพื่อสร้าง “พลเมือง” ให้รู้เท่าทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก

การมองออกไปนอกสังคมไทยบ่อยๆ ก็อาจจะช่วยให้เราปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมนานาชาติ ทำให้เรารู้จักตัวตนของเราดีขึ้น ทั้งจุดอ่อน จุดแข็ง และคงจะไม่คิดเอาเปรียบเพื่อนร่วมชาติ ด้วยการยักยอกทรัพย์สมบัติของส่วนรวม (งบประมาณ) เพื่อตนเองและครอบครัวของตนเอง เพราะในที่สุด การขาดทุนของรัฐก็คือ การขาดทุนของพวกเราทั้งหลายนั่นเอง

Let's block ads! (Why?)



"ภาคบังคับ" - Google News
August 07, 2020 at 02:00AM
https://ift.tt/3a3Riui

คอลัมน์การเมือง - ปัจจัยสำคัญที่จะลดกระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมการเมืองไทย - หนังสือพิมพ์แนวหน้า
"ภาคบังคับ" - Google News
https://ift.tt/2YaK1os
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://koi.prelol.com/

Bagikan Berita Ini

0 Response to "คอลัมน์การเมือง - ปัจจัยสำคัญที่จะลดกระแสการทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมการเมืองไทย - หนังสือพิมพ์แนวหน้า"

Post a Comment

Powered by Blogger.