นี่คือฟุตบอลโลก ไม่ใช่พรีเมียร์ลีก.. มันคือฟุตบอลโลกเวอร์ชั่นพรีเมียร์ลีก!!
การวางโปรแกรมเตะอันชาญฉลาดของพรีเมียร์ลีกจะทำให้ฟุตบอลกลับมาฟีเวอร์
ลืมความหงอยเหงาตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาไปได้เลยครับ ลืมข้อคิด ข้อเขียน คำวิจารณ์ หรือนานาทรรศนะจากผู้คนทั้งในวงการและนอกวงการออกไปด้วย
ในความคิดเห็นด้านที่อยู่ตรงกันข้ามกับการเตะฟุตบอลต่อในแบบสนามปิด จะเข้าใจตรงกันหรือเข้าใจไม่ตรงกันหรือจะอย่างไรก็แล้วแต่ พรีเมียร์ลีก 2019/20 กำลังจะกลับมาจริงๆ แถมเป็นการกลับมาแบบ "บิ๊กคัมแบ๊ก"
ไม่ใช่แค่บิ๊กอย่างเดียวด้วย หากมันเขย่าวงการเลยล่ะ
ต่อให้ไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม.. มันก็ยังเป็นการกลับมาแบบเขย่าวงการ
ขึ้นชื่อว่าพรีเมียร์ลีก ขอให้มีการฟาดแข้งกันเถอะครับ จะอย่างไรก็มีคนดู
ยิ่งในวันที่ฟุตบอลช่วงชี้เป็นชี้ตายหายไป 2 เดือน ช่วงที่ทุกคนต้องผ่านความกังวลสับสนว่ามันจะกลับมาเล่นกันต่อได้ไหม เราจะได้บทสรุปฤดูกาลนี้ไหม มันก็จะยิ่งมีคนดู
ผมคิดว่าคนอังกฤษที่ลงความเห็นว่า การไฟเขียวให้พรีเมียร์ลีกและการแข่งขันกีฬาใหญ่ๆ ได้เดินหน้าต่อไม่ได้มีผลด้านบวกใดๆ กับสภาพจิตใจของผู้คนอาจจะต้องกลับมาคิดกันใหม่อีกที
บางทีมันอาจจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็ได้
รัฐบาลอังกฤษโดยนาย บอริส จอห์นสัน ตัดสินใจบนความเชื่อพื้นฐานให้ลุกขึ้นสู้กับโควิด-19 อย่าก้มหัวให้มัน การเดินหน้าไปตามแผนงานที่วางเอาไว้เป็นระยะๆ คือการแสดงความมุ่งมั่นที่จะผ่านวิกฤตินี้ไปให้ได้ และการที่พรีเมียร์ลีกจะกลับมาเตะกันได้อีกครั้งก็เป็นการยกระดับอารมณ์ของผู้คนให้มีความเชื่อมั่นยิ่งขึ้น
แน่นอนมันคือมาตรการที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาเงื่อนไขดีแย่ทั้งหลายอย่างถี่ถ้วน มีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ตอนที่รัฐบาลไฟเขียวให้โปรเจ็กต์รีสตาร์ตเดินหน้าใหม่ๆ มีการทำแบบสอบถามประชาชนจำนวนหนึ่งว่าเห็นด้วยกับเหตุผลที่รัฐบาลบอกว่ามันคือสัญลักษณ์ของการต่อสู้ที่จะทำให้ผู้คนฮึกเหิมขึ้นไหม
คำตอบ 75 เปอร์เซนต์บอกว่า ไม่เห็นจะฮึกเหิมตรงไหนเลย บ้าหรือเปล่าให้ฟุตบอลเตะกันในช่วงที่คนยังติดเชื้อระเนระนาด
หากตอนนี้ เวลานี้ ถ้าเราหยิบบรรยากาศที่เกิดขึ้นหลังพรีเมียร์ลีกประกาศเดินหน้าเตะต่อ เริ่มตั้งแต่วันพุธที่ 17 มิ.ย. ด้วยเกมตกค้าง 2 คู่ แล้วรันยาวต่อเนื่องเตะกันถี่ยิบไปจนจบฤดูกาล เราก็จะสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นที่ก่อตัวขึ้น
เป็นอารมณ์ในเชิงบวกที่เต็มไปด้วยความหวัง เป็นการเฝ้ารออย่างมีความหมาย
ยังไม่ทันได้เตะหรอก เหลือเวลาอีกตั้ง 3 สัปดาห์ แต่แค่รู้ว่าจะเตะมันก็เริ่มดึงอารมณ์เก่าๆ กลับมา
ยิ่งเมื่อเห็นโปรแกรมเตะด้วยแล้วก็ยิ่งเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยาชั้นดีเชียวล่ะครับ พรีเมียร์ลีกกำลังทำให้ฟุตบอลของพวกเขาเป็นยิ่งกว่าซูเปอร์สตาร์ แปลงโฉมตัวเองให้เป็นมหกรรมฟุตบอลทัวร์นาเมนต์
พรีเมียร์ลีกใน 92 นัดที่เหลืออยู่ไม่ใช่แค่เกมลีก แต่มันเป็นทัวร์นาเม้นต์ลูกหนังเหมือนฟุตบอลโลกและฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
เหมือนยกฟุตบอลโลกมาวางทับพรีเมียร์ลีก ปรับโปรแกรมให้มันเป็นหนึ่งเดือนครึ่งแห่งความหฤหรรษ์ ทดแทนบรรยากาศที่จะกร่อยลงไปจากการไม่มีแฟนบอลเข้าสนาม
จากพรีเมียร์ลีกที่เตะกันสุดสัปดาห์ มีมันเดย์ไนท์แทรกบ้าง ของใหม่อย่างฟรายเดย์ไนต์แทรกบ้าง เกมกลางสัปดาห์ที่มาบ้างไม่มาบ้าง ก็กลายเป็นทัวร์นาเม้นต์ที่มีเกมลูกหนังให้ชมกันเกือบทุกวัน
ศุกร์ 20.00 น. (02.00 น. เวลาประเทศไทย)
เสาร์ 12.30 น. 15.00 น. 17.30 น. 20.00 น. (18.30 น. 21.00 น. 23.30 น. 02.00 น. เวลาประเทศไทย)
อาทิตย์ 12.00 น. 14.00 น. 16.30 น.19.00 น. (18.00 น. 20.00 น. 22.30 น.01.00 น. เวลาประเทศไทย)
จันทร์ 20.00 น. (02.00 น. เวลาประเทศไทย)
อังคาร 18.00 น. กับ 20.00 น. (00.00 น.กับ 02.00 น. เวลาประเทศไทย)
พุธ 18.00 น. กับ 20.00 น. (00.00 น. กับ 02.00 น. เวลาประเทศไทย)
พฤหัสฯ 18.00 น. กับ 20.00 น. (00.00 น.กับ 02.00 น. เวลาประเทศไทย)
ยังไม่มีการยืนยันโปรแกรมที่แน่นอนแต่ ณ เวลานี้เชื่อว่าฤดูกาลจะจบในวันเสาร์ที่ 25 ก.ค. โดยใช้การฟาดแข้ง 6 วีกเอนด์ (ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์) และ 3 มิดวีก (อังคาร พุธ พฤหัสฯ)
แม้จะไม่ได้เตะกันทุกวัน แต่ถ้าเป็นโปรแกรมแบบนี้ก็พูดได้ว่าถี่ยิบจนแทบไม่ใช่ฟุตบอลลีกแล้วครับ มันเกือบๆ จะเป็นฟุตบอลโลกแล้ว
เพราะฟุตบอลโลกเตะกันอุตลุดให้เราได้ดูจนตาแฉะ วันละ 3 คู่บ้าง 4 คู่บ้างทุกวันต่อเนื่องกัน 2 สัปดาห์เต็มๆ ในรอบแรก และฟาดฟันกันต่อไปอีก 2 สัปดาห์จนได้แชมป์ เราจึงเรียกมันว่าฟุตบอลโลก เพราะโลกหยุดหมุนให้กับมันจริงๆ
ไม่เคยมีฟุตบอลลีกชาติไหนทำได้อย่างนั้น ก็เพราะธรรมชาติของการแข่งขันเกมลีกเป็นอีกแบบ
แต่พรีเมียร์ลีกที่กำลังจะกลับมาเตะเพื่อเคลียร์ฤดูกาล 2019/20 ให้จบกำลังเปลี่ยนโฉมหน้าตัวเองเป็นกรณีพิเศษ ผัดแป้งแต่งตัวเป็นฟุตบอลโลก
พรีเมียร์ลีกใน 92 เกมสุดท้ายกำลังจะเป็นแบบนั้น เป็นฟุตบอลโลกเวอร์ชั่นพรีเมียร์ลีก..
เปลี่ยนบราซิลเป็นลิเวอร์พูล เปลี่ยนเยอรมันเป็นแมนฯ ยูไนเต็ด เปลี่ยนอาร์เจนติน่าเป็นแมนฯ ซิตี้
เปลี่ยนสเปนเป็นสเปอร์ส เปลี่ยนฝรั่งเศสเป็นอาร์เซน่อล เปลี่ยนอังกฤษเป็นเอฟเวอร์ตัน เปลี่ยนอิตาลีเป็นนิวคาสเซิ่ล.. เปลี่ยน.. เปลี่ยน.. ฯลฯ
เปลี่ยนพรีเมียร์ลีกเป็นฟุตบอลโลก เป็นเทศกาลลูกหนัง เป็นฟุตบอลเฟสติวัล
นี่คือการวางโปรแกรมเตะอันชาญฉลาดของพรีเมียร์ลีก จะด้วยภาคบังคับจากสัญญาลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดหรืออย่างไรก็แล้วแต่ มันก็ยังเป็นโปรแกรมเตะที่ชาญฉลาด
อังคาร ดูแมนฯ ซิตี้เที่ยงคืน สเปอร์สตีสอง
พุธ ดูลิเวอร์พูลเที่ยงคืน แมนฯ ยูไนเต็ดตีสอง
พฤหัสฯ ดูอาร์เซน่อลเที่ยงคืน เชลซีตีสอง
ศุกร์ ดูสเปอร์สตีสอง
เสาร์ ดูแมนฯ ซิตี้หกโมงครึ่ง ดูเลสเตอร์สามทุ่ม ดูเอฟเวอร์ตันห้าทุ่มครึ่ง ดูลิเวอร์พูลตีสอง
อาทิตย์ ดูแมนฯ ยูฯ หกโมงเย็น ดูนิวคาสเซิ่ลสองทุ่ม ดูเวสต์แฮมสี่ทุ่มครึ่ง ดูเชลซีตีหนึ่ง
จันทร์ ดูอาร์เซน่อลตีสอง
ฯลฯ
เมื่อพ่วงการรอคอยยาวนานเข้าไป เมื่อพ่วงวันเตะถี่ๆ ดูกันตาแฉะเหมือนเป็นเทศกาลฟุตบอลเข้าไป โปรแกรมพรีเมียร์ลีกนี้จะทำให้ฟุตบอลกลับมาฟีเวอร์.. แน่ๆ
ยิ่งได้แรงบวกจากการยกเลิกกฎ Black out ถ่ายทอดสดฟุตบอลตอนบ่ายสามโมงวันเสาร์ได้แล้วก็ยิ่งกลายเป็นอาวุธหนัก เสียบโปรแกรมฟาดแข้งได้เป๊ะกลายเป็นตัวจิ๊กซอว์ที่แสนเพอร์เฟกต์
หยุดนิ่งกันไป 2 เดือน ถ้านับจนถึงวันที่ฟุตบอลกลับมาเตะด้วยก็ 3 เดือน แต่มันน่าจะกลับมาแบบระเบิดตูมใหญ่สมกับความอัดอั้นที่อัดแน่น
กลับมาทั้งทีก็ต้องใหญ่แบบนี้แหละถึงจะสมกับที่เป็นพรีเมียร์ลีก แม้จะยังเหลือเวลาอีกเกือบ 3 สัปดาห์แต่ผมคิดว่าเราเริ่มนับถอยหลังสู่ความสะใจกันได้แล้วล่ะครับ
ตังกุย
"ภาคบังคับ" - Google News
May 31, 2020 at 12:04PM
https://ift.tt/2zNapef
บิ๊กคัมแบ๊ก!กลับมาทั้งทีต้องใหญ่แบบนี้แหละ - สยามกีฬา
"ภาคบังคับ" - Google News
https://ift.tt/2YaK1os
Mesir News Info
Israel News info
Taiwan News Info
Vietnam News and Info
Japan News and Info Update
https://koi.prelol.com/
Bagikan Berita Ini
0 Response to "บิ๊กคัมแบ๊ก!กลับมาทั้งทีต้องใหญ่แบบนี้แหละ - สยามกีฬา"
Post a Comment